อาชีพการเล่นในเอ็นบีเอ ของ สตีฟ แนช

อยู่กับฟีนิกส์ในสมัยแรก

แนชได้รับเลือกเป็นคนที่ 15 ในการดราฟรอบแรกของเอ็นบีเอเมื่อปี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) โดยทีมฟีนิกส์ ซันส์ ไม่เคยมีชาวแคนาดาคนไหนที่ถูกเลือกในอันดับสูงเช่นนี้ แต่สิ่งนี้กลับไม่มีความหมายกับแฟนของทีมซันส์และโห่ทีมที่เลือกแนช ถึงแม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จในระดับมหาวิทยาลัย แต่เขาไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเพราะไม่ได้เล่นให้มหาวิทยาลัยในคอนเฟอเรนซ์ที่มีชื่อเสียง เขาเล่นสำรองให้กับดาราในเอ็นบีเอคือเจสัน คิด (Jason Kidd) และเควิน จอห์นสัน (Kevin Johnson) อยู่สองปี ในปีแรก คือฤดูกาล 1996-97 แนชทำเฉลี่ยเพียง 3.3 แต้ม และ 2.1 แอสซิสต์เนื่องจากได้เล่นน้อย แต่ด้วยความพยายามเขาได้ลงสนามมากขึ้นในฤดูกาล 1997-98 และทำเฉลี่ยเพิ่มเป็น 9.1 แต้ม 3.4 แอสซิสต์ แต่ปีนั้นก็เป็นปีสุดท้ายที่แนชจะเล่นให้ทีมซันส์ก่อนที่จะไปอยู่ทีมอื่นเป็นเวลาหกปี[9]

ดัลลัส

แนชได้รู้จักและเป็นเพื่อนกับผู้ช่วยโค้ชทีมดัลลัส แมฟเวอริกส์ ดอนนี เนลสัน ตอนที่แนชอยู่ที่ซานตาคลารา และแนลสันทำงานให้กับทีมโกลเดนสเตท วอริเออร์ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน ต่อมาเนลสันรับงานใหม่กับทีมซันส์ เขาเป็นคนแนะให้ทีมเลือกแนช หลังจากเขาย้ายไปดัลลัส เนลสันก็ได้เสนอให้บิดาของเขา ดอน เนลสัน ซึ่งในขณะนั้นเป็นโค้ชและผู้จัดการทั่วไปของทีมแมฟเวอริกส์ดึงตัวแนชมา ในวันดราฟ มิถุนายน พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) แนช ก็ถูกเทรดจากซันส์ไปแมฟเวอริกส์เพื่อแลกกับ Martin Müürsepp, บับบา เวลส์ (Bubba Wells), สิทธิ์ในการดราฟ แพท แกร์ริตี (Pat Garrity) และสิทธิ์การดราฟรอบแรกซึ่งซันส์ใช้การเลือก ชอน แมริออน (Shawn Marion)[7]

ปีแรกที่เล่นให้ดัลลัส เป็นฤดูกาลที่สั้นกว่าปกติเนื่องจากมีการประท้วงหยุดเล่น แนชไม่ได้ลงเล่น 10 เกมเพราะเจ็บหลัง และแฟนต่างโห่แนชตลอดทั้งฤดูกาลเพราะไม่พอใจการเทรดของทีม[7]

ในฤดูกาล 1999-2000 ถึงแม้ว่าแนชจะพักไป 25 เกมจากการบาดเจ็บข้อเท้า เขากลับมาเล่นและทำดับเบิล-ดับเบิลหกครั้งในเดือนสุดท้ายของการเล่น และจบฤดูกาลทำเฉลี่ย 8.6 แต้ม 4.9 แอสซิสต์ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือแนช และเพื่อนร่วมทีม เดิร์ก โนวิตสกี (Dirk Nowitzki) พัฒนาฝีมือไปสู่ระดับซูเปอร์สตาร์ ในขณะที่ผู้เล่นมากประสบการณ์ ไมเคิล ฟินลี (Michael Finley) ก็สร้างผลงานในระดับออลสตาร์ รวมถึงเจ้าของทีมคนใหม่ มาร์ก คิวบัน (Mark Cuban) ก็นำเอาพลังและความเร้าใจมาใส่ในทีม เหล่านี้เสริมให้แนชพัฒนาเกมการเล่นขึ้นมาก

ในฤดูกาล 2000-01 แนชทำเฉลี่ยถึง 15.3 คะแนน 7.3 แอสซิสต์ต่อเกม ได้ตำแหน่ง Comeback Player of the Year จากนิตยสาร Basketball Digest จากการนำเกมการบุกของแนช และการเล่นในระดับสูงของโนวิตสกี และ ฟินลี รวมทั้งผู้เล่นออลสตาร์ ฮวน ฮาวาร์ด ที่เข้าร่วมทีมมาเสริมการทำคะแนนของทั้งสาม แมฟเวอริกส์ได้เข้าเล่นในเพลย์ออฟเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี ดัลลัสแพ้ในรอบที่สอง แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าเพลย์ออฟติดต่อกันหลายสมัยของแนชและแมฟเวอริกส์

ฤดูกาล 2001-02 แนชทำได้สูงสุดในอาชีพ ที่ 17.9 คะแนน 7.7 แอสซิสต์ และได้เข้าเล่นในเกมรวมดาราของเอ็นบีเอ และได้เลือกเป็น ออล-เอ็นบีเอ ทีมสาม ตอนนี้เขาเป็นออลสตาร์ เริ่มปรากฏในโฆษณาทางโทรทัศน์ และเป็นส่วนหนึ่งของ Big Three ร่วมกับฟินลี และ โนวิตสกี ทั้งสามยังปรากฏตัวร่วมกันในภาพยนตร์ Like Mike ดัลลัสได้เล่นเพลย์ออฟอีกครั้ง และตกรอบสอง แต่ทีมก็มีความหวังมากขึ้นในฤดูกาลต่อไป

แนชเกือบจะทำได้เหมือนฤดูกาลก่อนหน้านั้น ในปี 2002-03 เฉลี่ยได้ 17.7 แต้ม 7.3 แอสซิสต์ต่อเกม ได้เข้าเล่นในออลสตาร์และเลือกเป็น ออล-เอ็นบีเอ ทีมสาม อีกครั้ง แนชและโนวิตสกีเปิดฤดูกาลโดยการชนะติดต่อกัน 14 เกม ซึ่งนำไปสู่เพลย์ออฟรอบสุดท้ายของสายตะวันตก และแพ้ให้กับซานแอนโตนิโอ สเปอรส์ซึ่งคว้าแชมป์ในปีนั้น

แต่แนช และ Big Three ไปได้ไกลสุดเพียงแค่นี้ ฤดูกาล 2003-04 แนชทำคะแนนตกลงเหลือ 14.5 ต่อเกมและไม่ได้เล่นในออลสตาร์และไม่ติดทีม ออล-เอ็นบีเอ แต่เปอร์เซนต์การชู้ตสูงขึ้นจากฤดูกาลที่แล้ว 46.5 ไปเป็น 47% แอสซิสต์เฉลี่ย 8.8 และเปอร์เซนต์การชู้ตลูกโทษ 91.6% ถือเป็นค่าสูงสุดตลอดอาชีพการเล่น อย่างไรก็ตาม ดัลลัสไม่สามารถผ่านเพลย์ออฟรอบแรกได้ เป็นผลงานที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 1999-2000

และเมื่อสัญญาของแนชหมดอายุลง แนชพยายามเจรจาเซ็นสัญญาระยะยาวกับ มาร์ก คิวบัน แต่ก็ไม่สำเร็จ คิวบันไม่ต้องการสูญเสียแนชไป แต่ต้องการสร้างทีมของเขาจากโนวิตสกี และไม่อยากเสี่ยงเซ็นสัญญาระยะยาวกับแนชที่มีอายุมากแล้ว คิวบันจึงได้เสนอสัญญา 4 ปี มูลค่าประมาณ 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และโอกาสสำหรับปีที่ 5 ถ้าเล่นดี คิวบันเขียนบันทึกไว้ว่าเป็นสัญญาที่ยุติธรรมและถ้าแนชได้ข้อเสนอที่ดีกว่า แนชก็ควรที่จะรับไว้และเขาก็จะยินดีด้วย แนชค้นหาข้อตกลงอื่นและสุดท้ายลงเอยกับฟีนิกส์ ซึ่งเขาก็ยังมีบ้านอยู่ ซันส์เสนอแนช ซึ่งขณะนั้นอายุ 30 ปีแล้ว ด้วยสัญญาระยะ 6 ปีรวมเป็นเงิน 63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แนชลังเลที่จะออกจากดัลลัสและถามคิวบันว่าจะเสนอสัญญาระดับเดียวกันหรือไม่ ซึ่งคิวบันลังเลและแนชก็เซ็นกับซันส์ในที่สุด

อยู่กับฟีนิกส์สมัยที่สอง

ฟีนิกส์ซันส์มีผู้เล่นอายุน้อยแต่อยู่ระดับซูเปอร์สตาร์สองคน คือ ฟอร์เวิร์ด ชอน แมริออน และฟอร์เวิร์ด-เซ็นเตอร์ อามาเร สเตาเดอไมร์ (Amare Stoudemire) ซึ่งได้รับรางวัลผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยมแห่งปี (Rookie of the Year) ของฤดูกาล 2002-03 ถึงแม้ว่าจะมีผู้เล่นที่มีพรสวรรค์และอายุไม่มาก แต่ทีมก็ทำสถิติชนะเพียง 29 เกมแพ้ 53 เกมในฤดูกาล 2003-04 ทีมแทบไม่เปลี่ยนแปลงนอกจากแนชและสวิงแมน เควนติน ริชาร์ดสัน (Quentin Richardson) นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าทีมจะได้ผลงานอยู่ระดับล่าง ๆ ของคอนเฟอเรนส์ตะวันตก

หัวหน้าโค้ช ไมค์ แดนโทนี (Mike D'Antoni) ผู้เข้ามารับตำแหน่งกลางฤดูกาลที่ผ่านมา ปรับมาใช้แผนการเล่นแบบ รันแอนด์กัน (run and gun) ซึ่งเคยนิยมในสมัยคริสต์ทศวรรษ 1980 ใช้ผู้เล่นตัวเล็กและคล่องแคล่ว แดนโทนีให้แนชเล่นเกมบุกแบบฟาสต์เบรก (fastbreak) พยายามวิ่งแซงผู้เล่นทีมรับฝ่ายตรงข้ามไปเข้าทำคะแนนที่ห่วง ทุกคนได้สิทธิ์ในการชู้ตลูกตลอดเวลา ผลลัพธ์ที่ได้คือทีมที่ทำคะแนนได้สูงสุดในทศวรรษ โดยทำได้เฉลี่ย 110.4 คะแนนต่อเกมในฤดูกาลปกติ การส่งลูกที่แม่นยำของแนช ไปยัง สเตาเดอไมร์ แมริออน ริชาร์ดสัน และ โจ จอห์นสัน (Joe Johnson) เพื่อยัดลงห่วงหรือที่เรียกว่า alley oop ปรากฏในทีวีเป็นเพลย์เด่น ๆ จำนวนมาก

ซันส์ทำสถิติชนะ 31 แพ้ 5 ก่อนที่แนชจะบาดเจ็บในเกมถัดไป ซันส์แพ้ติดต่อกันสามเกมที่แนชไม่ได้ลงเล่น หลังจากแนชกลับเข้าทีม ทีมก็ชนะ 4 ใน 5 เกม และ 8 ใน 9 เกมถัดไป ซันส์จบฤดูกาลด้วยสถิติที่ดีที่สุดของเอ็นบีเอ คือ ชนะ 62 แพ้ 20 ซึ่งชนะมากกว่าฤดูกาลก่อนถึง 33 เกม

แนช ในตำแหน่งพอยท์การ์ดตัวจริง เป็นคนที่นำทีมให้กลับมาเก่งอีกครั้ง แม้ว่าเขาทำคะแนนเฉลี่ยเพียง 15.5 แต้มต่อเกม แต่เปอร์เซนต์การชู้ตของเขาอยู่ที่ 50.2% ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในอาชีพการเล่น และไม่ค่อยพบในตำแหน่งการ์ด สิ่งที่น่าประทับใจอีกอย่างคือแอสซิสต์เฉลี่ยที่ 11.5 ต่อเกม ซึ่งสูงสุดในอาชีพการเล่น และดีที่สุดในเอ็นบีเอฤดูกาลนั้น ในขณะที่ผู้เล่นอื่นทำได้ไม่เกิน 9 แนชยังทำดับเบิล-ดับเบิลรวมมากเป็นอันดับสาม รองจากเควิน การ์เน็ตและชอน แมริออน และทำทริปเปิล-ดับเบิลครั้งที่สองในอาชีพเมื่อ 30 มีนาคม โดยได้ 12 คะแนน 12 แอสซิสต์ และ 13 รีบาวด์ในเวลาเพียง 27 นาที แนชมีส่วนช่วยทีมมากที่สุดโดยการทำให้เพื่อนร่วมทีมเล่นดีขึ้น พวกเขาทำสถิติหลายอย่างดีที่สุดเท่าที่เคยเล่น ทั้งเพื่อนร่วมทีมและบุคคลภายนอกต่างยกความดีความชอบให้กับแนช ในปีนั้นแนชคว้ารางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าเมื่อจบฤดูกาลปกติโดยเฉือนเอาชนะแชคิล โอนีล ถือเป็นผู้เล่นชาวแคนาดาคนแรกที่ได้รางวัลนี้ และเป็นคนที่สามที่เกิดนอกสหรัฐอเมริกาที่ได้รางวัล (ต่อจาก ฮาคึม โอลาจูวอน และ ทิม ดังแคน)

ในเพลย์ออฟ ฟีนิกส์เอาชนะเมมฟิส กริซลีส์ในรอบแรกก่อนที่จะพบกับทีมเก่าของเขาในรอบที่สอง แนชนำทีมชนะดัลลัส แมฟเวอริกส์ 4 เกมต่อ 2 ในการเล่นรอบสุดท้ายของสายตะวันออก ซันส์แพ้ทีมซานแอนโตนิโอ สเปอรส์ ใน 5 เกม ถึงแม้ว่าจะแพ้แต่แนชและซันส์ก็ยินดีกับการพัฒนาการและแนวโน้มที่ดีในอนาคต

ฤดูกาล 2005-2006

ฤดูกาลนี้ซันส์ขาดผู้เล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์ที่แท้จริง และ มีผู้เล่นที่ยังไม่ค่อยได้ลงเล่นหลายคน เนื่องจากการบาดเจ็บ โดยเฉพาะอามาเร สเตาเดอไมร์ ผู้เล่นคนสำคัญซึ่งทั้งฤดูกาลได้เล่นเพียง 3 เกม จึงไม่ได้คาดว่าซันส์จะประสบความสำเร็จเท่าฤดูกาลที่แล้ว แต่ด้วยการนำทีมของแนช และการเล่นที่โดดเด่นของแมริออน และ ดิออ ซันส์ยังเป็นทีมที่เก่งในเอ็นบีเอ ซันส์ยังทำคะแนนสูงสุดในเอ็นบีเอ เฉลี่ยเกิน 100 ต่อเกม แนชถูกเลือกให้เป็นตัวจริงในการแข่งออลสตาร์ ฤดูกาลนี้แนชร่วมกับแมริออนนำทีมซันส์ให้ชนะ 54 เกมเป็นแชมป์สายแปซิฟิก แนชยังได้รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าอีกครั้งเป็นสมัยที่สองติดต่อกัน และถือเป็นการ์ดคนที่สองที่ได้รับรางวัลนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง (อีกคนคือ แมจิก จอห์นสัน) รอบเพลย์ออฟฤดูกาลนี้ ซันส์เข้าถึงรอบชิงคอนเฟอเรนซ์ตะวันตกเช่นเดียวกับฤดูกาลที่แล้วและแพ้ให้กับทีมดัลลัส แมฟเวอริกส์

ฤดูกาล 2006-2007

ฤดูกาลนี้ แนชยังมีผลงานดีมากเช่นเคย เล่นเฉลี่ย 18.6 คะแนนและ 11.6 แอสซิสต์ต่อเกม ซึ่งเป็นค่าแอสซิสต์เฉลี่ยสูงสุดตลอดอาชีพการเล่น อีกทั้งยังเป็นคนแรกที่ทำได้ 18 แต้ม 11 แอสซิสต์ตลอดฤดูกาลปกติต่อจาก แมจิก จอห์นสัน ซึ่งเคยทำได้ในฤดูกาล 1990-91 ได้รับเลือกเป็น ออล-เอ็นบีเอ ทีมแรก พร้อมกับ อามาเร สเตาเดอไมร์ เพื่อนร่วมทีม[10] และเกือบได้รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าติดต่อกันสามปีซ้อน โดยเป็นรอง เดิร์ก โนวิตสกี[11]

ใกล้เคียง

สตีฟ จอบส์ สตีฟ แนช สตีฟ เออร์วิน สตีฟ อาโอกิ สตีฟาน คาร์ล สตีฟานสัน สตีฟ โรเจอร์ส (จักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล) สตีฟ บรูซ สตีฟ เดวิส สตีฟ จ็อบส์ อัจฉริยะเปลี่ยนโลก สตีฟ แม็กควีน

แหล่งที่มา

WikiPedia: สตีฟ แนช http://www.canoe.ca/2000GamesNash/nash_00sep27-sun... http://www.basketball-reference.com/players/n/nash... http://www.canadasoccer.com/eng/nationals/profile.... http://sports.espn.go.com/nba/news/story?id=286633... http://sports.espn.go.com/nba/statistics?stat=nbaa... http://sports.espn.go.com/nba/statistics?stat=nbaa... http://sports.espn.go.com/nba/statistics?stat=nbaa... http://sports.espn.go.com/nba/statistics?stat=nbaa... http://www.insidehoops.com/nash-mvp-050805.shtml http://www.jockbio.com/Bios/Nash/Nash_bio.html